โรคซึมเศร้า โรคทางจิตเวชที่รุกรามคนทั้งโลก รวมทั้งลักษณะของการป่วยบางทีอาจร้ายแรงถึงกับขนาดทำให้คิดทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตายได้ มาตรวจเช็กอาการพร้อมแนวทางรักษากัน
โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) เป็นโรคทางใจเวชที่พบได้ทั่วไปที่สุด คนป่วยมิได้เป็นบ้าและไม่ได้เป็นคนอัลธพาล แต่ว่าเป็นมีลักษณะเจ็บป่วยทางอารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งอยากการดูแลรักษา เนื่องจากว่าถ้าปลดปล่อยไว้ ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจคิดทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตายได้ ด้วยเหตุว่ามีสถิติที่กล่าวว่า ผู้เจ็บป่วยโรคไม่มีชีวิตชีวาตายด้วยการฆ่าตัวตายเสร็จมากยิ่งกว่าคนทั่วๆไปถึง 20 เท่า
ดังนี้ ธนาคารโลกได้ทำการค้นคว้าร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วเดาว่า ในปี 2020 โรคไม่มีชีวิตชีวาจะแปลงเป็นปัญหาสาธารณสุขสุดยอดชั้นที่ 2 ถัดลงมาจากโรคหัวใจเส้นเลือด เนื่องจากว่าต้นเหตุด้านเศรษฐกิจและก็สังคมที่บีบคั้นการใช้ชีวิตของคนเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงเวลาที่เมืองไทยเอง กรมสุขภาพจิตก็มิได้นอนใจกับปัญหานี้ เนื่องจากว่าได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์โรคซึมเซามาตลอด โดยจากข้อมูลในปี 2559 พบว่ามีชาวไทยมีอาการป่วยเป็นโรคเหงาหงอยกว่า 12 ล้านคน แล้วก็เป็นคนที่มิได้เจอหมอมากยิ่งกว่า 1 ล้านคน ก็เลยนับว่าเป็นหัวข้อหลักที่จำเป็นต้องดูแล
โรคกลัดกลุ้มเป็นยังไง
โรคหม่นหมองเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่ทำให้คนไข้มีลักษณะเจ็บไข้อีกทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งความนึกคิด ซึ่งอาการพวกนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการดำนงชีพทุกวัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำราญ มีแม้กระนั้นความกังวลใจ ก็เลยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยด่วนด้วยการปรึกษาหารือจิตแพทย์
ที่มาของโรคซึมเซา
โรคเศร้าหมองเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นจากความไม่ปกติของสารเคมีในสมองชื่อ เซโรโทนิน (Serotonin) มีจำนวนลดน้อยลง ทำให้คนเจ็บมีลักษณะป่วยไข้ทั้งยังร่างกาย จิตใจ แล้วก็ความนึกคิด รู้สึกห่อเหี่ยว เปล่าเปลี่ยว อิดหนาระอาใจ ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ ตื่นเวลากลางดึก ฝันร้ายบ่อย ส่งผลเสียให้ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการดำเนินงานลดน้อยลง
ดังนี้ มูลเหตุที่ทำให้เกิดอาการเซื่องซึมมาจากหลายต้นเหตุ จากทางกรรมพันธุ์ ความก้าวหน้าของจิตใจ แล้วก็สภาพแวดล้อมที่พบเจอ อย่างเช่น เจอกับความตึงเครียดหนักๆพบมรสุมชีวิต ไม่สบายเรื้อรังกระทั่งห่อเหี่ยว เจอกับการสิ้นไปในชีวิต ได้แก่ การจากลาจากบิดามารดาในวัยเด็ก สูญเสียแฟน ครอบครัว ไม่มีงานทำ ปัญหาเรื่องการเงิน จะต้องย้ายบ้านเฉียบพลัน ความเกี่ยวเนื่องกับคนสนิทไม่ราบรื่น รวมทั้งถ้าเกิดพบกับเรื่องหรือความรู้สึกพวกนั้นเป็นประจำก็บางทีอาจกระตุ้นให้โรคซึมเซาเกิดขึ้นได้ รวมทั้งเหตุทางชีวภาพ อย่างเช่น ความเคลื่อนไหวของระดับสารเคมีในสมองบางตัว ก็อาจจะก่อให้กำเนิดโรคเหงาหงอยได้เหมือนกัน
นอกนั้น สาเหตุทางพันธุกรรมก็เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งโรคซึมเซา เพราะเหตุว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่ว่าก็มิได้มีความหมายว่าถ้าหากมีเครือญาติเป็น แล้วพวกเราจะเป็นไปด้วย เพราะเหตุว่าจำเป็นต้องขึ้นกับว่ามีสาเหตุดังกล่าวมากมายระตุ้นด้วยไหม อย่างไรก็ตาม เพศหญิงมักเผชิญกับภาวการณ์นี้มากยิ่งกว่าเพศชายถึง 70% และก็มักเริ่มเมื่อราวอายุ 32 ปี
โรคเศร้าหมอง
อาการของโรคไม่มีชีวิตชีวา
อาการแสดงของโรคเซื่องซึมในแต่ละคนบางทีอาจแตกต่างกัน แม้กระนั้นจำนวนมากแล้วจะเป็นไปในรูปแบบนี้
+ มีอารมณ์เหงาหงอย (ในเด็กรวมทั้งวัยรุ่นบางทีอาจเป็นอารมณ์อารมณ์เสียก็ได้)
+ ความพึงพอใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆดูเหมือนจะทั้งหมดต่ำลงเป็นอย่างมาก
+ น้ำหนักน้อยลงหรือมากขึ้นมากมาย (น้ำหนักเปลี่ยนมากยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่อข้าวหรือเจริญอาหารมากมาย
+ นอนไม่หลับ หรือหลับมากมายไป
+ วุ่นวายใจ ซน หรือช้าลง
+ เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง
+ รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า
+ สมาธิน้อยลง เหม่อลอย หรือลังเลไปหมด
+ คิดหัวข้อการตาย คิดต้องการตาย
* ควรจะมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างต่ำ 1 ข้อ
* ควรจะมีอาการเป็นอยู่นาน 2 อาทิตย์ขึ้นไป แล้วก็จะต้องมีอาการพวกนี้อยู่แทบตลอดระยะเวลา เกือบจะทุกวี่วัน ไม่ใช่เป็นๆหายๆเป็นเพียงวันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่
ดังนี้ ในคนป่วยที่เป็นหนักต้องระมัดระวังให้มากมาย เพราะว่าได้โอกาสฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายสูงมากมาย ถ้ามีเรื่องมีราวมากมายระทบจิตใจเพียงแค่นิดนึง โดยจากสถิติพบว่า คนที่ฆ่าตัวตายมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 60 ป่วยด้วยโรคเศร้าใจด้วย
อย่างไรก็ดี อาการพวกนี้จะเกิดขึ้นข้างหลังป่วยไข้มาได้นานมากแค่ไหนไม่สามารถที่จะบอกได้ เพราะเหตุว่าในบางบุคคลป่วยไข้มาแล้ว 1-2 ปีถึงออกอาการ แต่ว่าบางบุคคลเจ็บไข้เพียงแค่ 6 เดือนก็รู้สึกตัวแล้ว ก็เลยสามารถรักษาให้หายได้
โรคเศร้าหมอง สลับกับยิ้มแย้มแจ่มใสแตกต่างจากปกติ (Bipolar disorder)
มีโรคทางอารมณ์อีกประเภทหนึ่งเป็น โรคไบโพลาร์ ผู้ที่เป็นโรคจำพวกนี้เมื่อเจ็บไข้ขึ้นมาจะมีลักษณะได้ 2 แบบเป็นแบบเซื่องซึม รวมทั้งแบบตรงกันข้ามกับเศร้าใจ ในเวลาที่มีลักษณะแบบหม่นหมอง (depressive episode) ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะราวกับโรคเหงาหงอยธรรมดา แต่ว่าเมื่อมีลักษณะอาการตรงกันข้ามกับไม่มีชีวิตชีวา (manic episode) คนไข้จะร่าเริงแจ่มใสไม่ปกติ สุขสบายมากมาย ขี้บ่น หัวเราะเก่ง ใจดี ใช้เงินสิ้นเปลือง มีแผนการใหญ่ๆโตๆผุดขึ้นมาในหัวเยอะไปหมด บางรายนิสัยเสียเที่ยวไปเหลื่อมล้ำบุคคลอื่น บางรายมีความต้องการทางเพศมากมาย บางรายมีลักษณะเชื่อไม่ถูกๆด้วย ได้แก่ รู้สึกว่าตนเป็นซูเปอร์แมนมาป้องกันชาวโลก
ดังนี้ โรคซึมเซาสลับกับร่าเริงแจ่มใสแตกต่างจากปกตินี้อยากการดูแลรักษาด้วยยาที่ต่างไปจากโรคเศร้าหมองปกติ ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อเจอคนเจ็บที่มีภาวการณ์เหงาหงอย หมอชอบถามคำถามว่าเคยมีตอนที่ร่าเริงแจ่มใสเปลี่ยนไปจากปกติไหม เพื่อช่วยแยกโรคให้ถูก
โรคเหงาหงอย โรคทางจิตเวชที่จะต้องรีบรักษา
ข้อสอบโรคซึมเซา
ถ้าหากสงสัยว่าตนเองหรือคนสนิทอาจมีลักษณะโรคซึมเซา ทดลองดูข้อสอบตั้งแต่นี้ต่อไป จากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่จะช่วยทำให้พวกเราวิเคราะห์ได้พื้นฐานว่ากำลังมีอาการป่วยเป็นโรคกลัดกลุ้มอยู่ไหม โดยให้ตอบปัญหาว่า ในตอน 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา คุณมีลักษณะอาการหรือความนึกคิดในรูปแบบนี้บ้างหรือไม่
1. รู้สึกจิตใจเศร้า (เกือบจะตลอดวัน)
2. รู้สึกเป็นกังวลจนถึงต้องการร้องไห้
3. รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต
4. รู้สึกไม่มีความสบาย หมดสนุก กับสิ่งที่เคยถูกใจรวมทั้งเคยทำ
5. รู้สึกผิดหวังในตัวเอง แล้วก็โทษสิ่งที่เกิดขึ้น
6. รู้สึกสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตนเอง
7. รู้สึกต้องการอยู่ตามลำพังไม่ต้องการที่จะอยากสมาคมกับคนไหนกัน
8. รู้สึกตัวเองไม่มีค่า
9. คิดอะไรไม่ออก
10. หลงๆลืมๆง่าย
11. คิดอะไรได้ช้ากว่าธรรมดา
12. ทำอะไรช้า เฉื่อยกว่าธรรมดา
13. รู้สึกอ่อนแรงง่ายราวกับหมดแรง
14. รู้สึกเบื่อข้าว กินได้น้อยกว่าเดิม
15. นอนๆตื่นๆหลับไม่สนิท
ถ้าเกิดตอบว่า "มี" ตั้งแต่ 6 ข้อขึ้นไป คือ มีภาวการณ์เซื่องซึม ควรจะได้รับบริการให้คำแนะนำจากผู้ชำนาญ หรือเจอหมอเพื่อการบำบัดรักษา
รักษาโรคเหงาหงอยได้ยังไง
โรคซึมเซาสามารถรักษาได้ด้วยหลายแนวทาง ดังต่อไปนี้
- รักษาโรคเหงาหงอยด้วยยา
การดูแลและรักษาหลักในขณะนี้ก็คือ การให้ยาแก้โรคหม่นหมอง (antidepressant drugs) ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท มีจำพวกที่ทำให้ง่วงงุนและก็ที่ไม่ง่วงหงาวหาวนอน ยาแก้โรคไม่มีชีวิตชีวาจะไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสพติด แล้วก็ผู้เจ็บป่วยสามารถหยุดยาได้พอหมดความต้องการ
ดังนี้ ยาแก้โรคเศร้าใจมิได้ออกฤทธิ์แค่เพียงลดความไม่สบายใจ แม้กระนั้นจะออกฤทธิ์ทำให้อารมณ์หายเศร้าหมองจริงๆอย่างไรก็แล้วแต่ ยาประเภทนี้จะออกฤทธิ์ออกจะช้า จำต้องกินยาตลอดนานอย่างต่ำ 2-3 อาทิตย์ ก็เลยเริ่มมีความเห็นว่าอารมณ์แจ่มใสขึ้น และก็มักจำต้องใช้เวลา 4-6 อาทิตย์ยาก็เลยจะออกฤทธิ์สุดกำลัง เมื่อหายแล้วคนเจ็บจะกลายเป็นคนเดิม และก็หมอจะให้ยาต่ออีกอย่างต่ำ 6 เดือน แม้กระนั้นในรายที่เป็นบ่อยมากหมอบางทีอาจตรึกตรองให้ยาเป็นเวลานานกว่านั้น
ยาแก้เศร้าบางทีอาจแบ่งโดยประมาณออกเป็นสองกรุ๊ปใหญ่ เช่น กรุ๊ปที่มีส่วนประกอบเป็นแบบ tricyclic แล้วก็ยากลุ่มใหม่ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาในตอนไม่นานมานี้ จุดเด่นของยาในกรุ๊ป tricyclicเป็นเป็นยาที่ใช้สำหรับการรักษามานานจนถึงทราบกันดีอยู่แล้วถึงอาการใกล้กันของยาแต่ละตัว คุณภาพเป็นที่รับรองแน่ๆ ทั้งยังสำหรับเพื่อการรักษาระยะกระทันหันและก็การปกป้องระยะยาวและก็ราคาไม่แพง
อย่างไรก็แล้วแต่ ความสามารถสำหรับในการรักษาของยาแก้โรคเศร้าใจแต่ละตัวนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกัน ความไม่เหมือนอยู่ที่ฤทธิ์ใกล้กัน ซึ่งรวมทั้งยาในกรุ๊ปใหม่ด้วยด้วยเหมือนกัน สำหรับเพื่อการเลือกใช้ยาพวกเราพินิจพิเคราะห์จากต้นเหตุต่อแต่นี้ไปเป็นลำดับ
ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยที่เคยเจ็บป่วยรวมทั้งรักษาหายมาก่อน เรื่องราวรักษาเดิมมีความจำเป็น โดยผู้เจ็บป่วยมักสนองตอบต่อยาตัวเดิม แล้วก็ขนาดเดิมที่เคยใช้ โดยเหตุนี้ควรต้องใช้ยาขนานเดิมเป็นตัวแรก
- รักษาโรคไม่มีชีวิตชีวาโดยไม่ใช้ยา
* เปลี่ยนแปลงความคิดปราบความซึมเศร้า
กำลังระทดจะมองโลกในแง่ร้าย และก็มองโลกในแง่ร้ายก็จะไม่มีชีวิตชีวาได้ง่าย เป็นวัฏจักรที่ทำให้สภาวะหม่นหมองเป็นอยู่นาน โดยเหตุนี้เมื่อกำเนิดอารณ์เศร้าหมองขึ้นมา ให้ผู้เจ็บป่วยทดลองหยุดเศร้าหมองประเดี๋ยวแล้วมองดูย้อนกลับไปว่าเมื่อสักครู่กำเนิดอะไรขึ้น แล้วก็เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันมีความคิดอะไรแวบขึ้นมาในสมอง แล้วทดลองตรึกตรองว่าความคิดอันนั้นมันถูกขนาดไหน ถ้าหากคิดได้ว่ามันไม่ค่อยสมเหตุผลเยอะแค่ไหนอารมณ์จะดียิ่งขึ้นในทันที อย่างต่ำก็จนกระทั่งจะเผลอไปคิดอะไรบ้างในแง่ร้ายอีก แต่ว่าถ้าเกิดคิดแล้วมีความรู้สึกว่ามันก็สมเหตุผลดีก็ค่อยคิดว่ากล่าว แล้วจะทำยังไงกับประเด็นนั้นดี
* เปลี่ยนแปลงความประพฤติ
คนที่อยู่ในภาวการณ์เศร้าใจมักไม่ได้อยากทำอะไร หมดเรี่ยวแรง นั่งๆนอนๆแม้กระนั้นในสมองจะคิดไปเรื่อยๆแล้วก็มักคิดแต่ว่าเรื่องร้ายๆยิ่งคิดก็ยิ่งลุกไม่ขึ้น ให้แก้โดยการหาอะไรทำ หาอะไรที่ได้ลงไม้ลงมือกระทำ ไม่สำคัญต้องเป็นงานที่สำคัญขอให้ได้ลงมือกระทำเป็นใช้ได้ อย่างเช่น จัดตู้หรือลิ้นชักที่เกลื่อนกลาดๆเอาของที่แตกที่หักมาทดลองซ่อมแซมมอง ขัดรถยนต์ รดน้ำต้นไม้ แย่งงานสาวใช้ทำ อื่นๆอีกมากมาย เพื่อเบี่ยงเบนความพอใจ ความนึกคิดเพ้อเจ้อจะต่ำลงแล้วก็อารมณ์จะ
- รักษาโรคเศร้าหมองด้วยกระแสไฟฟ้า (ECT, electroconvulsive therapy)
ในรายที่เป็นมากหรือมีโอกาสเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากมายๆหมอจะให้การรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้า เครื่องจะปลดปล่อยไฟฟ้าผ่านสมองทำให้ผู้เจ็บป่วยมีการชัก (convulsion) สภาวะหม่นหมองจะหายได้อย่างเร็ว (ในเวลาราวๆ 1 อาทิตย์) การดูแลและรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าในตอนนี้มีความปลอดภัยสูงมากมาย แม้กระนั้นเนื่องมาจากสังคมได้รับข้อมูลที่บกพร่องจากสื่อต่างๆทำให้การดูแลและรักษาแบบงี้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกัน หมอก็เลยจะใช้การรักษาแบบงี้ในรายที่จำเป็นจะต้องจริงๆแค่นั้น
โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) เป็นโรคทางใจเวชที่พบได้ทั่วไปที่สุด คนป่วยมิได้เป็นบ้าและไม่ได้เป็นคนอัลธพาล แต่ว่าเป็นมีลักษณะเจ็บป่วยทางอารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งอยากการดูแลรักษา เนื่องจากว่าถ้าปลดปล่อยไว้ ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจคิดทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตายได้ ด้วยเหตุว่ามีสถิติที่กล่าวว่า ผู้เจ็บป่วยโรคไม่มีชีวิตชีวาตายด้วยการฆ่าตัวตายเสร็จมากยิ่งกว่าคนทั่วๆไปถึง 20 เท่า
ดังนี้ ธนาคารโลกได้ทำการค้นคว้าร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วเดาว่า ในปี 2020 โรคไม่มีชีวิตชีวาจะแปลงเป็นปัญหาสาธารณสุขสุดยอดชั้นที่ 2 ถัดลงมาจากโรคหัวใจเส้นเลือด เนื่องจากว่าต้นเหตุด้านเศรษฐกิจและก็สังคมที่บีบคั้นการใช้ชีวิตของคนเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงเวลาที่เมืองไทยเอง กรมสุขภาพจิตก็มิได้นอนใจกับปัญหานี้ เนื่องจากว่าได้เฝ้าสังเกตเหตุการณ์โรคซึมเซามาตลอด โดยจากข้อมูลในปี 2559 พบว่ามีชาวไทยมีอาการป่วยเป็นโรคเหงาหงอยกว่า 12 ล้านคน แล้วก็เป็นคนที่มิได้เจอหมอมากยิ่งกว่า 1 ล้านคน ก็เลยนับว่าเป็นหัวข้อหลักที่จำเป็นต้องดูแล
โรคกลัดกลุ้มเป็นยังไง
โรคหม่นหมองเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่ทำให้คนไข้มีลักษณะเจ็บไข้อีกทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งความนึกคิด ซึ่งอาการพวกนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการดำนงชีพทุกวัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำราญ มีแม้กระนั้นความกังวลใจ ก็เลยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยด่วนด้วยการปรึกษาหารือจิตแพทย์
ที่มาของโรคซึมเซา
โรคเศร้าหมองเป็นโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นจากความไม่ปกติของสารเคมีในสมองชื่อ เซโรโทนิน (Serotonin) มีจำนวนลดน้อยลง ทำให้คนเจ็บมีลักษณะป่วยไข้ทั้งยังร่างกาย จิตใจ แล้วก็ความนึกคิด รู้สึกห่อเหี่ยว เปล่าเปลี่ยว อิดหนาระอาใจ ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ ตื่นเวลากลางดึก ฝันร้ายบ่อย ส่งผลเสียให้ความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการดำเนินงานลดน้อยลง
ดังนี้ มูลเหตุที่ทำให้เกิดอาการเซื่องซึมมาจากหลายต้นเหตุ จากทางกรรมพันธุ์ ความก้าวหน้าของจิตใจ แล้วก็สภาพแวดล้อมที่พบเจอ อย่างเช่น เจอกับความตึงเครียดหนักๆพบมรสุมชีวิต ไม่สบายเรื้อรังกระทั่งห่อเหี่ยว เจอกับการสิ้นไปในชีวิต ได้แก่ การจากลาจากบิดามารดาในวัยเด็ก สูญเสียแฟน ครอบครัว ไม่มีงานทำ ปัญหาเรื่องการเงิน จะต้องย้ายบ้านเฉียบพลัน ความเกี่ยวเนื่องกับคนสนิทไม่ราบรื่น รวมทั้งถ้าเกิดพบกับเรื่องหรือความรู้สึกพวกนั้นเป็นประจำก็บางทีอาจกระตุ้นให้โรคซึมเซาเกิดขึ้นได้ รวมทั้งเหตุทางชีวภาพ อย่างเช่น ความเคลื่อนไหวของระดับสารเคมีในสมองบางตัว ก็อาจจะก่อให้กำเนิดโรคเหงาหงอยได้เหมือนกัน
นอกนั้น สาเหตุทางพันธุกรรมก็เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งโรคซึมเซา เพราะเหตุว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่ว่าก็มิได้มีความหมายว่าถ้าหากมีเครือญาติเป็น แล้วพวกเราจะเป็นไปด้วย เพราะเหตุว่าจำเป็นต้องขึ้นกับว่ามีสาเหตุดังกล่าวมากมายระตุ้นด้วยไหม อย่างไรก็ตาม เพศหญิงมักเผชิญกับภาวการณ์นี้มากยิ่งกว่าเพศชายถึง 70% และก็มักเริ่มเมื่อราวอายุ 32 ปี
โรคเศร้าหมอง
อาการของโรคไม่มีชีวิตชีวา
อาการแสดงของโรคเซื่องซึมในแต่ละคนบางทีอาจแตกต่างกัน แม้กระนั้นจำนวนมากแล้วจะเป็นไปในรูปแบบนี้
+ มีอารมณ์เหงาหงอย (ในเด็กรวมทั้งวัยรุ่นบางทีอาจเป็นอารมณ์อารมณ์เสียก็ได้)
+ ความพึงพอใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆดูเหมือนจะทั้งหมดต่ำลงเป็นอย่างมาก
+ น้ำหนักน้อยลงหรือมากขึ้นมากมาย (น้ำหนักเปลี่ยนมากยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่อข้าวหรือเจริญอาหารมากมาย
+ นอนไม่หลับ หรือหลับมากมายไป
+ วุ่นวายใจ ซน หรือช้าลง
+ เหน็ดเหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง
+ รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า
+ สมาธิน้อยลง เหม่อลอย หรือลังเลไปหมด
+ คิดหัวข้อการตาย คิดต้องการตาย
* ควรจะมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างต่ำ 1 ข้อ
* ควรจะมีอาการเป็นอยู่นาน 2 อาทิตย์ขึ้นไป แล้วก็จะต้องมีอาการพวกนี้อยู่แทบตลอดระยะเวลา เกือบจะทุกวี่วัน ไม่ใช่เป็นๆหายๆเป็นเพียงวันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่
ดังนี้ ในคนป่วยที่เป็นหนักต้องระมัดระวังให้มากมาย เพราะว่าได้โอกาสฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายสูงมากมาย ถ้ามีเรื่องมีราวมากมายระทบจิตใจเพียงแค่นิดนึง โดยจากสถิติพบว่า คนที่ฆ่าตัวตายมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 60 ป่วยด้วยโรคเศร้าใจด้วย
อย่างไรก็ดี อาการพวกนี้จะเกิดขึ้นข้างหลังป่วยไข้มาได้นานมากแค่ไหนไม่สามารถที่จะบอกได้ เพราะเหตุว่าในบางบุคคลป่วยไข้มาแล้ว 1-2 ปีถึงออกอาการ แต่ว่าบางบุคคลเจ็บไข้เพียงแค่ 6 เดือนก็รู้สึกตัวแล้ว ก็เลยสามารถรักษาให้หายได้
โรคเศร้าหมอง สลับกับยิ้มแย้มแจ่มใสแตกต่างจากปกติ (Bipolar disorder)
มีโรคทางอารมณ์อีกประเภทหนึ่งเป็น โรคไบโพลาร์ ผู้ที่เป็นโรคจำพวกนี้เมื่อเจ็บไข้ขึ้นมาจะมีลักษณะได้ 2 แบบเป็นแบบเซื่องซึม รวมทั้งแบบตรงกันข้ามกับเศร้าใจ ในเวลาที่มีลักษณะแบบหม่นหมอง (depressive episode) ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะราวกับโรคเหงาหงอยธรรมดา แต่ว่าเมื่อมีลักษณะอาการตรงกันข้ามกับไม่มีชีวิตชีวา (manic episode) คนไข้จะร่าเริงแจ่มใสไม่ปกติ สุขสบายมากมาย ขี้บ่น หัวเราะเก่ง ใจดี ใช้เงินสิ้นเปลือง มีแผนการใหญ่ๆโตๆผุดขึ้นมาในหัวเยอะไปหมด บางรายนิสัยเสียเที่ยวไปเหลื่อมล้ำบุคคลอื่น บางรายมีความต้องการทางเพศมากมาย บางรายมีลักษณะเชื่อไม่ถูกๆด้วย ได้แก่ รู้สึกว่าตนเป็นซูเปอร์แมนมาป้องกันชาวโลก
ดังนี้ โรคซึมเซาสลับกับร่าเริงแจ่มใสแตกต่างจากปกตินี้อยากการดูแลรักษาด้วยยาที่ต่างไปจากโรคเศร้าหมองปกติ ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อเจอคนเจ็บที่มีภาวการณ์เหงาหงอย หมอชอบถามคำถามว่าเคยมีตอนที่ร่าเริงแจ่มใสเปลี่ยนไปจากปกติไหม เพื่อช่วยแยกโรคให้ถูก
โรคเหงาหงอย โรคทางจิตเวชที่จะต้องรีบรักษา
ข้อสอบโรคซึมเซา
ถ้าหากสงสัยว่าตนเองหรือคนสนิทอาจมีลักษณะโรคซึมเซา ทดลองดูข้อสอบตั้งแต่นี้ต่อไป จากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่จะช่วยทำให้พวกเราวิเคราะห์ได้พื้นฐานว่ากำลังมีอาการป่วยเป็นโรคกลัดกลุ้มอยู่ไหม โดยให้ตอบปัญหาว่า ในตอน 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา คุณมีลักษณะอาการหรือความนึกคิดในรูปแบบนี้บ้างหรือไม่
1. รู้สึกจิตใจเศร้า (เกือบจะตลอดวัน)
2. รู้สึกเป็นกังวลจนถึงต้องการร้องไห้
3. รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต
4. รู้สึกไม่มีความสบาย หมดสนุก กับสิ่งที่เคยถูกใจรวมทั้งเคยทำ
5. รู้สึกผิดหวังในตัวเอง แล้วก็โทษสิ่งที่เกิดขึ้น
6. รู้สึกสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตนเอง
7. รู้สึกต้องการอยู่ตามลำพังไม่ต้องการที่จะอยากสมาคมกับคนไหนกัน
8. รู้สึกตัวเองไม่มีค่า
9. คิดอะไรไม่ออก
10. หลงๆลืมๆง่าย
11. คิดอะไรได้ช้ากว่าธรรมดา
12. ทำอะไรช้า เฉื่อยกว่าธรรมดา
13. รู้สึกอ่อนแรงง่ายราวกับหมดแรง
14. รู้สึกเบื่อข้าว กินได้น้อยกว่าเดิม
15. นอนๆตื่นๆหลับไม่สนิท
ถ้าเกิดตอบว่า "มี" ตั้งแต่ 6 ข้อขึ้นไป คือ มีภาวการณ์เซื่องซึม ควรจะได้รับบริการให้คำแนะนำจากผู้ชำนาญ หรือเจอหมอเพื่อการบำบัดรักษา
รักษาโรคเหงาหงอยได้ยังไง
โรคซึมเซาสามารถรักษาได้ด้วยหลายแนวทาง ดังต่อไปนี้
- รักษาโรคเหงาหงอยด้วยยา
การดูแลและรักษาหลักในขณะนี้ก็คือ การให้ยาแก้โรคหม่นหมอง (antidepressant drugs) ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท มีจำพวกที่ทำให้ง่วงงุนและก็ที่ไม่ง่วงหงาวหาวนอน ยาแก้โรคไม่มีชีวิตชีวาจะไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสพติด แล้วก็ผู้เจ็บป่วยสามารถหยุดยาได้พอหมดความต้องการ
ดังนี้ ยาแก้โรคเศร้าใจมิได้ออกฤทธิ์แค่เพียงลดความไม่สบายใจ แม้กระนั้นจะออกฤทธิ์ทำให้อารมณ์หายเศร้าหมองจริงๆอย่างไรก็แล้วแต่ ยาประเภทนี้จะออกฤทธิ์ออกจะช้า จำต้องกินยาตลอดนานอย่างต่ำ 2-3 อาทิตย์ ก็เลยเริ่มมีความเห็นว่าอารมณ์แจ่มใสขึ้น และก็มักจำต้องใช้เวลา 4-6 อาทิตย์ยาก็เลยจะออกฤทธิ์สุดกำลัง เมื่อหายแล้วคนเจ็บจะกลายเป็นคนเดิม และก็หมอจะให้ยาต่ออีกอย่างต่ำ 6 เดือน แม้กระนั้นในรายที่เป็นบ่อยมากหมอบางทีอาจตรึกตรองให้ยาเป็นเวลานานกว่านั้น
ยาแก้เศร้าบางทีอาจแบ่งโดยประมาณออกเป็นสองกรุ๊ปใหญ่ เช่น กรุ๊ปที่มีส่วนประกอบเป็นแบบ tricyclic แล้วก็ยากลุ่มใหม่ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาในตอนไม่นานมานี้ จุดเด่นของยาในกรุ๊ป tricyclicเป็นเป็นยาที่ใช้สำหรับการรักษามานานจนถึงทราบกันดีอยู่แล้วถึงอาการใกล้กันของยาแต่ละตัว คุณภาพเป็นที่รับรองแน่ๆ ทั้งยังสำหรับเพื่อการรักษาระยะกระทันหันและก็การปกป้องระยะยาวและก็ราคาไม่แพง
อย่างไรก็แล้วแต่ ความสามารถสำหรับในการรักษาของยาแก้โรคเศร้าใจแต่ละตัวนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกัน ความไม่เหมือนอยู่ที่ฤทธิ์ใกล้กัน ซึ่งรวมทั้งยาในกรุ๊ปใหม่ด้วยด้วยเหมือนกัน สำหรับเพื่อการเลือกใช้ยาพวกเราพินิจพิเคราะห์จากต้นเหตุต่อแต่นี้ไปเป็นลำดับ
ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยที่เคยเจ็บป่วยรวมทั้งรักษาหายมาก่อน เรื่องราวรักษาเดิมมีความจำเป็น โดยผู้เจ็บป่วยมักสนองตอบต่อยาตัวเดิม แล้วก็ขนาดเดิมที่เคยใช้ โดยเหตุนี้ควรต้องใช้ยาขนานเดิมเป็นตัวแรก
- รักษาโรคไม่มีชีวิตชีวาโดยไม่ใช้ยา
* เปลี่ยนแปลงความคิดปราบความซึมเศร้า
กำลังระทดจะมองโลกในแง่ร้าย และก็มองโลกในแง่ร้ายก็จะไม่มีชีวิตชีวาได้ง่าย เป็นวัฏจักรที่ทำให้สภาวะหม่นหมองเป็นอยู่นาน โดยเหตุนี้เมื่อกำเนิดอารณ์เศร้าหมองขึ้นมา ให้ผู้เจ็บป่วยทดลองหยุดเศร้าหมองประเดี๋ยวแล้วมองดูย้อนกลับไปว่าเมื่อสักครู่กำเนิดอะไรขึ้น แล้วก็เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันมีความคิดอะไรแวบขึ้นมาในสมอง แล้วทดลองตรึกตรองว่าความคิดอันนั้นมันถูกขนาดไหน ถ้าหากคิดได้ว่ามันไม่ค่อยสมเหตุผลเยอะแค่ไหนอารมณ์จะดียิ่งขึ้นในทันที อย่างต่ำก็จนกระทั่งจะเผลอไปคิดอะไรบ้างในแง่ร้ายอีก แต่ว่าถ้าเกิดคิดแล้วมีความรู้สึกว่ามันก็สมเหตุผลดีก็ค่อยคิดว่ากล่าว แล้วจะทำยังไงกับประเด็นนั้นดี
* เปลี่ยนแปลงความประพฤติ
คนที่อยู่ในภาวการณ์เศร้าใจมักไม่ได้อยากทำอะไร หมดเรี่ยวแรง นั่งๆนอนๆแม้กระนั้นในสมองจะคิดไปเรื่อยๆแล้วก็มักคิดแต่ว่าเรื่องร้ายๆยิ่งคิดก็ยิ่งลุกไม่ขึ้น ให้แก้โดยการหาอะไรทำ หาอะไรที่ได้ลงไม้ลงมือกระทำ ไม่สำคัญต้องเป็นงานที่สำคัญขอให้ได้ลงมือกระทำเป็นใช้ได้ อย่างเช่น จัดตู้หรือลิ้นชักที่เกลื่อนกลาดๆเอาของที่แตกที่หักมาทดลองซ่อมแซมมอง ขัดรถยนต์ รดน้ำต้นไม้ แย่งงานสาวใช้ทำ อื่นๆอีกมากมาย เพื่อเบี่ยงเบนความพอใจ ความนึกคิดเพ้อเจ้อจะต่ำลงแล้วก็อารมณ์จะ
- รักษาโรคเศร้าหมองด้วยกระแสไฟฟ้า (ECT, electroconvulsive therapy)
ในรายที่เป็นมากหรือมีโอกาสเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากมายๆหมอจะให้การรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้า เครื่องจะปลดปล่อยไฟฟ้าผ่านสมองทำให้ผู้เจ็บป่วยมีการชัก (convulsion) สภาวะหม่นหมองจะหายได้อย่างเร็ว (ในเวลาราวๆ 1 อาทิตย์) การดูแลและรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าในตอนนี้มีความปลอดภัยสูงมากมาย แม้กระนั้นเนื่องมาจากสังคมได้รับข้อมูลที่บกพร่องจากสื่อต่างๆทำให้การดูแลและรักษาแบบงี้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับกัน หมอก็เลยจะใช้การรักษาแบบงี้ในรายที่จำเป็นจะต้องจริงๆแค่นั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น